(๖๕) กรรม ๓ (การกระทำ, การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม — action; deed) ๑. กายกรรม (กรรมทำด้วยกาย, การกระทำทางกาย — bodily action) ๒. วจีกรรม (กรรมทำด้วยวาจา, การกระทำทางวาจา — verbal action) ๓. มโนกรรม (กรรมทำด้วยใจ, การกระทำทางใจ — mental action) M.I.373. ม.ม. ๑๓/๖๔/๕๖. (๖๖) กุศลมูล ๓ (รากเหง้าของกุศล, ต้นตอของความดี — whole some roots; roots of good actions) ๑. อโลภะ (ความไม่โลภ, ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับโลภะ, ความคิดเผื่อแผ่, จาคะ — non-greed; generosity) ๒. อโทสะ (ความไม่คิดประทุษร้าย, ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับโทสะ, เมตตา — non-hatred; love) ๓. อโมหะ (ความไม่หลง, ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับความหลง, ปัญญา — non-delusion; wisdom) D.III.275. ที.ปา.๑๑/๓๙๔/๒๙๒. (๖๗) อกุศลมูล ๓ (รากเหง้าของอกุศล, ต้นตอของความชั่ว — unwholesome roots; roots of bad actions) ๑. โลภะ (ความอยากได้ — greed) ๒. โทสะ (ความคิดประทุษร้าย — hatred) ๓. โมหะ (ความหลง — delusion) D.III.275; It.45. ที.ปา.๑๑/๓๙๓/๒๙๑; ขุ.อิติ.๒๕/๒๒๘/๒๖๔. (๖๘) กุศลวิตก ๓ (ความตรึกที่เป็นกุศล, ความนึกคิดที่ดีงาม — wholesome thoughts) ๑. เนกขัมมวิตก(ความตรึกปลอดจากกาม, ความนึกคิดในทางเสียสละ ไม่ติดในการปรนปรือสนองความอยากของตน — thought of renunciation; thought free from selfish desire) ๒. อพยาบาทวิตก (ความตรึกปลอดจากพยาบาท, ความนึกคิดที่ประกอบด้วยเมตตา ไม่ขัดเคืองหรือเพ่งมองในแง่ร้าย — thought free from hatred) ๓. อวิหิงสาวิตก (ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียน, ความนึกคิดที่ประกอบด้วยกรุณาไม่คิดร้ายหรือมุ่งทำลาย — thought of non-violence; thought free from cruelty) A.III.446. องฺ.ฉกก. ๒๒/๓๘๐/๔๙๖. (๖๙) อกุศลวิตก ๓ (ความตรึกที่เป็นอกุศล, ความนึกคิดที่ไม่ดี — unwholesome thoughts) ๑. กามวิตก (ความตรึกในทางกาม, ความนึกคิดในทางแส่หาหรือพัวพันติดข้องในสิ่งสนองความอยาก — thought of sensual pleasures) ๒. พยาบาทวิตก (ความตรึกในทางพยาบาท, ความนึกคิดที่ประกอบด้วยความขัดเคืองเพ่งมองในแง่ร้าย — thought full of hatred or ill-will; malevolent thought) ๓. วิหิงสาวิตก (ความตรึกในทางเบียดเบียน, ความนึกคิดในทางทำลาย ทำร้ายหรือก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น — thought of violence or cruelty; cruel thought) A.III.446. องฺ.ฉกฺก.๒๒/๓๘๐/๔๙๖. (๗๐) โกศล ๓ (ความฉลาด, ความเชี่ยวชาญ — proficiency) ๑. อายโกศล (ความฉลาดในความเจริญ, รอบรู้ทางเจริญ และเหตุของความเจริญ — proficiency as to gain or progress) ๒. อปายโกศล (ความฉลาดในความเสื่อม, รอบรู้ทางเสื่อมและเหตุของความเสื่อม — proficiency as to loss or regress) ๓. อุปายโกศล (ความฉลาดในอุบาย, รอบรู้วิธีแก้ไขเหตุการณ์และวิธีที่จะทำให้สำเร็จ — proficiency as to means and method) D.III.220; Vbh. 325. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๑; อภิ.วิ.๓๕/๘๐๗/๔๓๙. (๗๑) ญาณ ๓ (ความหยั่งรู้, ปรีชาหยั่งรู้ — insight; knowledge) ๑. อตีตังสญาณ (ญาณหยั่งรู้ส่วนอดีต, รู้อดีตและสาวหาเหตุปัจจัยอันต่อเนื่องมาได้ — insight into the past; knowledge of the past) ๒. อนาคตังสญาณ (ญาณหยั่งรู้ส่วนอนาคต, รู้อนาคต หยั่งผลที่จะเกิดสืบต่อไปได้ — insight into the future; knowledge of the future) ๓. ปัจจุปันนังสญาณ (ญาณหยั่งรู้ส่วนปัจจุบัน, รู้ปัจจุบัน กำหนดได้ถึงองค์ประกอบและเหตุปัจจัยของเรื่องที่เป็นไปอยู่ — insight into the ; knowledge of the present) D,III.275. ที.ปา๑๑๓๙๖๒๙๒. (๗๒) ญาณ ๓ (ความหยั่งรู้, ปรีชาหยั่งรู้ — insight; knowledge) ๑. สัจจญาณ (หยั่งรู้สัจจะ คือ ความหยั่งรู้อริยสัจ ๔ แต่ละอย่างตามที่เป็นๆ ว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา — knowledge of the Truths as they are) ๒. กิจจญาณ (หยั่งรู้กิจ คือ ความหยั่งรู้กิจอันจะต้องทำในอริยสัจ ๔ แต่ละอย่างว่า ทุกข์ควรกำหนดรู้ ทุกขสมุทัยควรละเสีย ทุกขนิโรธควรทำให้แจัง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาควรเจริญ — knowledge of the functions with regard to the respective Four Noble Truths) ๓. กตญาณ (หยั่งรู้การอันทำแล้ว คือ ความหยั่งรู้ว่ากิจอันจะต้องทำในอริยสัจ ๔ แต่ละอย่างนั้นได้ทำสำเร็จแล้ว — knowledge of what has been done with regard to the respective Four Noble Truths) ดู (๑๙๘) กิจในอริยสัจ ๔. Vin.I.11; S.V.422. วินย.๔/๑๖/๒๑; สํ.ม.๑๙/๑๖๗๐/๕๓๐; สํ.อ.๓/๔๐๙. (๗๓) ตัณหา ๓ (ความทะยานอยาก — craving) ๑. กามตัณหา (ความทะยานอยากในกาม, ความอยากได้กามคุณ คือสิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้งห้า — craving for sensual pleasures; sensual craving) ๒. ภวตัณหา (ความทะยานอยากในภพ, ความอยากในภาวะของตัวตนที่จะได้จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง อยากเป็น อยากคงอยู่ตลอดไป, ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ — craving for existence) ๓. วิภวตัณหา (ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตนจากความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่ปรารถนา อยากทำลาย อยากดับสูญ, ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ — craving for non-existence; craving for self-annihilation) A.III.445; Vbh.365 องฺ.ฉกฺก.๒๒/๓๗๗/๔๙๔; อภิ.วิ.๓๕/๙๓๓/๔๙๔ (๗๔) ไตรปิฎก (ปิฎก ๓, กระจาด ตะกร้า กระบุง หรือตำรา ๓, ประมวลแห่งคัมภีร์ที่รวบรวมพระธรรมวินัย ๓ หมวด หรือ ๓ ชุด — the Three Baskets; the Pali Canon) จัดพิมพ์ด้วยอักษรไทยมี ๔๕ เล่ม
อนึ่ง ๓ ปิฎกนี้ สงเคราะห์เข้าในปาพจน์ ๒ คือ พระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก จัดเป็น ธรรม พระวินัยปิฎก จัดเป็น วินัย Vin. V.86. วินย.๘/๘๒๖/๒๒๔. (๗๕) ไตรลักษณ์ (ลักษณะ ๓ ประการ แห่งสังขารธรรมทั้งหลาย — the Three Characteristics) ๑. อนิจจตา (ความเป็นของไม่เที่ยง — impermanence; transiency) ๒. ทุกขตา (ความเป็นทุกข์ — state of suffering or being oppressed) ๓. อนัตตตา (ความเป็นของไม่ใช่ตน — soullessness; not-self) ดู (๘๕) ธรรมนิยาม ๓ S.IV.1; Dh.277-9. สํ.สฬ.๑๘/๑/๑; ขุ.ธ.๒๕/๓๐/๕๑. (**) ไตรสิกขา ดู (๑๒๓) สิกขา ๓. (๗๖) ทวาร ๓ ทางทำกรรม — door; channel of action) ๑. กายทวาร (ทวารคือกาย — the body-door; channel of bodily action) ๒. วจีทวาร (ทวารคือวาจา — the speech-door; speech as a door of action) ๓. มโนทวาร (ทวารคือใจ — the mind-door; mind as a door of action) Dh.234. นัย. ขุ.ธ.๒๕/๒๗/๔๖; มงฺคล. ๑/๒๕๒/๒๔๓. (๗๗) ทวาร ๖ (ทางรับรู้อารมณ์ ได้แก่อายตนะภายใน ๖ — sense-doors) ๑. จักขุทวาร (ทวารคือตา — eye-door) ๒. โสตทวาร (ทวารคือหู — ear-door) ๓. ฆานทวาร (ทวารคือจมูก — nose-door) ๔. ชิวหาทวาร (ทวารคือลิ้น — tongue-door) ๕. กายทวาร (ทวารคือกาย — body-door) ๖. มโนทวาร (ทวารคือใจ — mind-door) ดู (๒๖๒) อายตนะภายใน ๖ S.IV.194. สํ.สฬ.๑๘/๓๔๒/๒๔๒. (**) ทิฏฐิ ๓ ดู (๑๔) ทิฏฐิ ๓ (๗๘) ทุกขตา ๓ (ความเป็นทุกข์, ภาวะแห่งทุกข์, สภาพทุกข์, ความเป็นสภาพที่ทนได้ยาก หรือคงอยู่ในภาวะเดิมไม่ได้ — state of suffering or being subject to suffering; conflict; unsatisfactoriness) ๑. ทุกขทุกขตา (สภาพทุกข์คือทุกข์ หรือความเป็นทุกข์เพราะทุกข์ ได้แก่ ทุกขเวทนาทางกายก็ตาม ใจก็ตาม ซึ่งเป็นทุกข์อย่างที่เข้าใจสามัญ ตรงตามชื่อ ตามสภาพ — painfulnessas suffering) ๒.วิปริณามทุกขตา (ความเป็นทุกข์เพราะความแปรปรวน ได้แก่ความสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์เมื่อต้องเปลี่ยนแปรไปเป็นอื่น — suffering in change) ๓. สังขารทุกขตา (ความเป็นทุกข์เพราะเป็นสังขาร ได้แก่ตัวสภาวะของสังขารคือสิ่งทั้งปวงซึ่งเกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง ที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายไป ทำให้คงสภาพอยู่ไม่ได้ พร่องอยู่เสมอ และให้เกิดทุกข์แก่ผู้ยึดถือด้วยอุปทาน — suffering due to formations; inherent liability to suffering) D.III.216; S.IV.259; V.56. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๒๙; สํ.สฬ.๑๘/๕๑๐/๓๑๘; สํ.ม.๑๙/๓๑๙/๘๕. (๗๙) ทุจริต ๓ (ความประพฤติชั่ว, ประพฤติไม่ดี — evil conduct; misconduct) ๑. กายทุจริต (ความประพฤติชั่วด้วยกาย — evil conduct in act; misconduct by body) มี ๓ คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน และ กาเมสุมิจฉาจาร ๒. วจีทุจริต (ความประพฤติชั่วด้วยวาจา — evil conduct in word; misconduct by speech) มี ๔ คือ มุสาวาท ปิสุณวาจา ผรุสวาจา และ สัมผัปปลาปะ ๓. มโนทุจริต (ความประพฤติชั่วด้วยใจ — evil conduct in thought; misconduct by mind) มี ๓ คือ อภิชฌา พยาบาท และมิจฉาทิฏฐิ) ดู รายละเอียดที่ (๓๐๙) อกุศลกรรมบถ ๑๐. D.III.214; Dhs.1305. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๒๗; อภิ.สํ.๓๔/๘๔๐/๓๒๗. (๘๐) สุจริต ๓ (ความประพฤติดี, ประพฤติชอบ — good conduct) ๑. กายสุจริต (ความประพฤติชอบด้วยกาย — good conduct in act) มี ๓ คือ งดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับ ปาณาติบาต อทินนาทาน และกาเมสุมิจฉาจาร ๒. วจีสุจริต (ความประพฤติชอบด้วยวาจา — good conduct in word) มี ๔ คือ งดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับ มุสาวาท ปิสุณวาจา ผรุสวาจา และ สัมผัปปลาปะ ๓. มโนสุจริต (ความประพฤติชอบด้วยใจ — good conduct in thought) มี ๓ คือ อนภิชฌา อพยาบาท และ สัมมาทิฏฐิ. ดู รายละเอียดที่ (๓๐๘) กุศลกรรมบถ ๑๐. D.III.215; Dhs.1306. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๒๗; อภิ.สํ.๓๔/๘๔๐/๓๒๗. (๘๑) เทพ ๓ (เทพเจ้า, เทวดา — gods; divine beings) ๑. สมมติเทพ (เทวดาโดยสมมติ ได้แก่ พระราชา พระเทวี และพระราชกุมาร — gods by convention) ๒. อุปปัตติเทพ (เทวดาโดยกำเนิด ได้แก่เทวดาในกามาวจรสวรรค์ และ พรหมทั้งหลายเป็นต้น — gods by rebirth) ๓. วิสุทธิเทพ (เทวดาโดยความบริสุทธิ์ ได้แก่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย — gods by purification) Nd2 307; KhA.123. ขุ.จู.๓๐/๖๕๔/๓๑๒; ขุทฺทก.อ.๑๓๕. (๘๒) เทวทูต ๓ (ทูตของยมเทพ, สื่อแจ้งข่าวของมฤตยู, สิ่งที่เป็นสัญญาณเตือนใจให้ระลึกถึงคติธรรมดาของชีวิตอันมีความตายเป็นที่สุด เพื่อจะได้เกิดความสังเวชและเร่งขวนขวายทำความดี ด้วยความไม่ประมาท — divine messengers; messengers of death) ๑. ชิณณะ (คนแก่ — old men) ๒. พยาธิตะ หรือ อาพาธิกะ (คนเจ็บ, ผู้ป่วย — sick men) ๓. มตะ (คนตาย — dead men) A.I.138. องฺ.ติก.๒๐/๔๗๕/๑๗๕. (**) เทวทูต ๔ ดู (๑๔๙) นิมิต ๔. (๘๓) เทวทูต ๕ (ทูตของยมเทพ — divine messengers) ๑. ทหระ หรือ มันทกุมาร (เด็กอ่อน — a young baby) ๒. ชิณณะ (คนแก่ — an old men) ๓. พยาธิตะ หรือ อาพาธิกะ (คนเจ็บ — a sick man) ๔. กรรมการณัปปัตตะ (คนถูกลงโทษ, คนถูกจองจำลงอาญา — a criminal subjected to punishment) ๕. มตะ (คนตาย — a dead man) M.III.179. ม.อุ.๑๔/๕๐๗/๓๓๕. (๘๔) ธรรม ๓ (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ์ — states; things; phenomena; idea) ๑. กุศลธรรม (ธรรมที่เป็นกุศล, สภาวะที่ฉลาด ดีงาม เอื้อแก่สุขภาพจิต เกื้อกูลแก่ชีวิตจิตใจ ได้แก่กุศลมูล ๓ ก็ดี นามขันธ์ ๔ ที่สัมปยุตด้วยกุศลมูลนั้นก็ดี กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่มีกุศลมูลเป็นฐาน ก็ดี กล่าวสั้นว่า กุศลในภูมิ ๔ — skillful, wholesome, or profitable states; good things) ๒. อกุศลธรรม (ธรรมที่เป็นอกุศล, สภาวะที่ตรงข้ามกับกุศล ได้แก่ อกุศลมูล ๓ และกิเลสอันมีฐานเดียวกับอกุศลมูลนั้น ก็ดี นามขันธ์ ๔ ที่สัมปยุตด้วยอกุศลมูลนั้น ก็ดี กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่มีอกุศลมูลเป็นสมุฏฐาน ก็ดี กล่าวสั้นว่าอกุศลจิตตุบาท ๑๒ — unskillful, unwholesome or unprofitable states; bad things) ๓. อัพยากตธรรม (ธรรมที่เป็นอัพยากฤต, สภาวะที่เป็นกลาง ๆ ชี้ขาดลงมิได้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล ได้แก่ นามขันธ์ ๔ ที่เป็นวิบากแห่งกุศลและอกุศล เป็นกามาวจรก็ตาม รูปาวจรก็ตาม อรูปาวจรก็ตาม โลกุตตระก็ตาม อย่างหนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่เป็นกิริยา มิใช่กุศล มิใช่อกุศล มิใช่วิบากแห่งกรรม อย่างหนึ่ง รูปทั้งปวง อย่างหนึ่ง อสังขตธาตุ คือ นิพพาน อย่างหนึ่ง กล่าวสั้นคือ วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤต ในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน — the indeterminate; neither-good-nor-bad thing) Dhs.91,180,234. อภิ.สํ.๓๔/๑/๑; ๖๖๓/๒๕๙; ๘๗๘/๓๔๐ (๘๕) ธรรมนิยาม ๓ (กำหนดแห่งธรรมดา, ความเป็นไปอันแน่นอนโดยธรรมดา, กฎธรรมชาติ — orderliness of nature; natural law) ๑. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา (สังขารคือสังขตธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง — all conditioned states are impermanent) ๒. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา (สังขารคือสังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ — all conditioned states are subject to oppression, conflict or suffering) ๓. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา (ธรรมคือสังขตธรรมและอสังขตธรรม หรือสังขารและวิสังขารทั้งปวงไม่ใช่ตน — all states are not-self or soulless ) หลักนี้ เรียกอีกอย่างว่า ไตรลักษณ์ หรือ สามัญลักษณะ; พระพุทธเจ้าจะอุบัติหรือไม่ก็ตาม หลักทั้งสามนี้ ก็คงมีอยู่เป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าเป็นแต่ทรงค้นพบและนำมาเปิดเผยแสดงแก่เวไนย. ดู (๒๑๔) นิยาม ๕. A.I.285. องฺ.ติก.๒๐/๕๗๖/๓๖๘. (๘๖) นิมิต ๓ (เครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนดในการเจริญกรรมฐาน, ภาพที่เห็นในใจอันเป็นตัวแทนของสิ่งที่ใช้อารมณ์กรรมฐาน — sign; mental image) ๑. บริกรรมนิมิต (นิมิตแห่งบริกรรม, นิมิตตระเตรียมหรือนิมิตแรกเริ่ม ได้แก่สิ่งใดก็ตามที่กำหนดเป็นอารมณ์ในการเจริญกรรมฐาน เช่น ดวงกสิณที่เพ่งดู หรือ พุทธคุณที่นึกเป็นอารมณ์ว่าอยู่ในใจเป็นต้น — preliminary sign) ได้ในกรรมฐานทั้ง ๔๐ ๒. อุคคหนิมิต (นิมิตที่ใจเรียน, นิมิตติดตา ได้แก่ บริกรรมนิมิตนั้นเพ่งหรือนึกกำหนดจนเห็นแม่นในใจ เช่น ดวงกสิณที่เพ่งจนติดตา หลับตามองเห็น เป็นต้น — learning sign; abstract sign; visualized image) ได้ในกรรมฐานทั้ง ๔๐ ๓. ปฏิภาคนิมิต (นิมิตเสมือน, นิมิตเทียบเคียง ได้แก่ นิมิตที่เป็นภาพเหมือนของอุคคหนิมิตนั้น แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากสัญญา เป็นเพียงอาการปรากฏแก่ผู้ได้สมาธิจึงบริสุทธิ์จนปราศจากสีเป็นต้น และไม่มีมลทินใด ๆ ทั้งสามารถนึกขยายหรือย่อส่วนได้ตามปรารถนา — sign; conceptualized image) นิมิตนี้ได้เฉพาะในกรรมฐาน ๒๒ คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ กายคตาสติ๑ และอานาปานสติ ๑ เมื่อเกิดปฏิภาคนิมิตขึ้น จิตย่อมตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ จึงชื่อว่าปฏิภาคนิมิตเกิดพร้อมกับอุปจารสมาธิ เมื่อเสพปฏิภาคนิมิตนั้นสม่ำเสมอด้วยอุปจารสมาธิก็จะสำเร็จเป็นอัปปนาสมาธิต่อไป ปฏิภาคนิมิตจึงชื่อว่าเป็นอารมณ์แก่อุปจารภาวนาและอัปปนาภาวนา. ดู (๙๘) ภาวนา ๓ Comp.203; Vism.125. สังคห. ๕๑; วิสุทธิ.๑/๕๙. (๘๗) บุญกิริยาวัตถุ ๓ (ที่ตั้งแห่งการทำบุญ, เรื่องที่จัดเป็นการทำความดี, หลักการทำความดี, ทางทำความดี — bass of meritorious action; grounds for accomplishing merit) ๑. ทานมัย บุญกิริยาวัตถุ (ทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ — meritorious action consisting in giving or generosity) ๒. สีลมัย บุญกิริยาวัตถุ (ทำบุญด้วยการรักษาศีล หรือประพฤติดีมีระเบียบวินัย — meritorious action consisting in observing the precepts or moral behaviour) ๓. ภาวนามัย บุญกิริยาวัตถุ (ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือฝึกอบรมจิตใจ — meritorious action consisting in mental development) D.III.218; A.IV.239; It.51. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๐; องฺ.อฏฺฐก. ๒๓/๑๒๖/๒๔๕; ขุ.อิติ. ๒๕/๒๓๘/๒๗๐. (๘๘) บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ที่ตั้งแห่งการทำบุญ, ทางทำความดี — bases of meritorious action) ๑. ทานมัย (ทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ — meritorious action consisting in generosity; merit acquired by giving) ๒. สีลมัย (ทำบุญด้วยการรักษาศีลหรือประพฤติดี — by observing the precepts or moral behavior) ๓. ภาวนามัย (ทำบุญด้วยการเจริญภาวนาคือฝึกอบรมจิตใจ — by mental development) ๔. อปจายนมัย (ทำบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม — by humility or reverence) ๕. เวยยาวัจจมัย (ทำบุญด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้ — by rendering services) ๖. ปัตติทานมัย (ทำบุญด้วยการเฉลี่ยส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น — by sharing or giving out merit) ๗. ปัตตานุโมทนามัย (ทำบุญด้วยการยินดีในความดีของผู้อื่น — by rejoicing in others’ merit) ๘. ธัมมัสสวนมัย (ทำบุญด้วยการฟังธรรมศึกษาหาความรู้ — by listening to the Doctrine or right teaching) ๙. ธัมมเทสนามัย (ทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรมให้ความรู้ — by teaching the Doctrine or showing truth) ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ (ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง — by straightening one’s views or forming correct views) D.A.III.999; Comp.146. ที.อ.๓/๒๔๖; สังคหะ ๒๙. (๘๙) บุตร ๓ (son; child; descendant) ๑. อติชาตบุตร (บุตรที่ยิ่งกว่าบิดามารดา, ลูกที่ดีกว่าเลิศกว่าพ่อแม่ — superior-born son) ๒. อนุชาตบุตร (บุตรที่ตามเยี่ยงบิดามารดา, ลูกที่เสมอด้วยพ่อแม่ — like-born son) ๓. อวชาตบุตร (บุตรที่ต่ำลงกว่าบิดามารดา, ลูกที่ทราม — worse-born son) It.62. ขุ.อิติ.๒๕/๒๕๒/๒๗๘. (๙๐) ปปัญจะ, ปปัญจธรรม ๓ (กิเลสเครื่องเนิ่นช้า, กิเลสที่เป็นตัวการทำให้คิดปรุงแต่งยืดเยื้อพิสดาร ทำให้เขวห่างออกไปจากความเป็นจริงที่ง่าย ๆ เปิดเผย ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ และขัดขวางไม่ให้เข้าถึงความจริงหรือทำให้ไม่อาจแก้ปัญหาอย่างถูกทางตรงไปตรงมา — diversification; diffuseness; mental diffusion) ๑. ตัณหา (ความทะยานอยาก, ความปรารถนาที่จะบำรุงบำเรอปรนเปรอตน, ความอยากได้อยากเอา — craving; selfish desire) ๒. ทิฏฐิ (ความคิดเห็น ความเชื่อถือ ลัทธิ ทฤษฎี อุดมการณ์ต่าง ๆ ที่ยึดถือไว้โดยงมงายหรือโดยอาการเชิดชูว่าอย่างนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเท็จทั้งนั้น เป็นต้น ทำให้ปิดตัวแคบ ไม่ยอมรับฟังใคร ตัดโอกาสที่จะเจริญปัญญา หรือคิดเตลิดไปข้างเดียว ตลอดจนเป็นเหตุแห่งการเบียดเบียนบีบคั้นผู้อื่นที่ไม่ถืออย่างตน, ความยึดติดในทฤษฎี ฯลฯ ถือความคิดเห็นเป็นความจริง — view; dogma; speculation) ๓. มานะ (ความถือตัว, ความสำคัญตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ถือสูงถือต่ำ ยิ่งใหญ่เท่าเทียมหรือด้อยกว่าผู้อื่น, ความอยากเด่นอยากยกชูตนให้ยิ่งใหญ่ — conceit) Nd 280; Vbh.393; Nett. 37-38 ขุ.ม.๒๙/๕๐๕/๓๓๗; อภิ.วิ.๓๕/๑๐๓๔/๕๓๐; เนตฺติ. ๕๖-๕๗ (๙๐) ปริญญา ๓ (การกำหนดรู้, การทำความรู้จัก, การทำความเข้าใจโดยครบถ้วน — full understanding; diagnosis) ๑. ญาตปริญญา (กำหนดรู้ด้วยให้เป็นสิ่งอันรู้แล้ว, กำหนดรู้ขั้นรู้จัก, กำหนดรู้ตามสภาวลักษณะ คือ ทำความรู้จักจำเพาะตัวของสิ่งนั้นโดยตรง พอให้ชื่อว่าได้เป็นอันรู้จักสิ่งนั้นแล้ว เช่นว่ารู้ นี้คือเวทนา เวทนาคือสิ่งที่มีลักษณะเสวยอารมณ์ดังนี้เป็นต้น — full knowledge as the known; diagnosis as knowledge) ๒. ตีรณปริญญา (กำหนดรู้ด้วยการพิจารณา, กำหนดรู้ขั้นพิจารณา, กำหนดรู้โดยสามัญลักษณะ คือ ทำความรู้จักสิ่งนั้นพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เช่นว่า เวทนาไม่เที่ยง มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ดังนี้เป็นต้น — full knowledge as investigating; diagnosis as judgment) ๓. ปหานปริญญา (กำหนดรู้ด้วยการละ, กำหนดรู้ถึงขั้นละได้, กำหนดรู้โดยตัดทางมิให้ฉันทราคะเกิดมีในสิ่งนั้น คือรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว ละนิจจสัญญาเป็นต้น ในสิ่งนั้น เสียได้ — full knowledge as abandoning; diagnosis as abandoning) ปริญญา ๓ นี้
เป็นโลกียะ มีขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ เป็นกิจในอริยสัจข้อที่
๑ คือ ทุกข์ ในทางปฏิบัติ จัดเข้าใน วิสุทธิข้อ ๓ ถึง ๖ คือ ตั้งแต่นามรูปปริเฉท ถึง ปัจจยปริคคหะ
เป็นภูมิแห่งญาตปริญญา ตั้งแต่กลาปสัมมสนะ
ถึง อุทยัพพยานุปัสสนา เป็นภูมิแห่งตีรณปริญญา
ตั้งแต่ ภังคานุปัสสนาขึ้นไป เป็นภูมิแห่งปหานปริญญา Nd 153; Vism.606 ขุ.ม.๒๙/๖๒/๖๐; วิสุทธิ.๓/๒๓๐. (๙๑) ปหาน ๓ (การละกิเลส — abandonment) คือ วิกขัมภนปหาน ตทังคปหานและสมุจเฉทปหาน มีรวมอยู่ใน ปหาน ๕. ดู (๒๘๑) ปหาน ๕; (๒๑๕) นิโรธ ๕. Vism.693 วิสุทธิ.๓/๓๔๙ (๙๒) ปัญญา ๓ (ความรอบรู้, รู้ทั่ว, เข้าใจ, รู้ซึ้ง — knowledge; understanding) ๑. จินตามยปัญญา (ปัญญาเกิดแต่การคิดการพิจารณาหาเหตุผล — wisdom resulting form reflection; knowledge that is thought out) ๒. สุตมยปัญญา (ปัญญาเกิดแต่การสดับการเล่าเรียน — wisdom resulting from study; knowledge that is learned from others) ๓. ภาวนามยปัญญา (ปัญญาเกิดแต่การฝึกอบรมลงมือปฏิบัติ — wisdom resulting from mental development; knowledge that is gained by development or practice) D.III.219; Vbh.324. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๑; อภิ.วิ.๓๕/๘๐๔/๔๓๘. (๙๓) ปาฏิหาริย์ ๓ (การกระทำที่กำจัดหรือทำให้ปฏิปักษ์ยอมได้, การกระทำที่ให้เป็นอัศจรรย์, การกระทำที่ให้บังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ — marvel; wonder; miracle) ๑. อิทธิปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คือฤทธิ์, แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ — marvel of psychic power) ๒. อาเทศนาปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คือการทายใจ, รอบรู้กระบวนของจิตจนสามารถกำหนดอาการที่หมายเล็กน้อยแล้วบอกสภาพของจิต ความคิด อุปนิสัยได้ถูกต้อง เป็นอัศจรรย์ — marvel of mind-reading) ๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คืออนุศาสนี, คำสอนเป็นจริง สอนให้เห็นจริง นำไปปฏิบัติได้ผลสมจริง เป็นอัศจรรย์ — marvel of teaching) D.I.211;A.I.170; Ps.II.227 ที.สี.๙/๓๓๙/๒๗๓; องฺ.ติก.๒๐/๕๐๐/๒๑๗; ขุ.ปฏิ.๓๑/๗๑๘/๖๑๖. (๙๔) ปาปณิกธรรม ๓ (ปาปณิกังคะ หลักพ่อค้า, องค์คุณของพ่อค้า — qualities of a successful shopkeeper or businessman) ๑. จักขุมา ตาดี (รู้จักสินค้า ดูของเป็น สามารถคำนวณราคา กะทุนเก็งกำไร แม่นยำ — shrewd) ๒. วิธูโร จัดเจนธุรกิจ (รู้แหล่งซื้อแหล่งขาย รู้ความเคลื่อนไหวความต้องการของตลาด สามารถในการจัดซื้อจัดจำหน่าย รู้ใจและรู้จักเอาใจลูกค้า — capable of administering business) ๓. นิสสยสัมปันโน พร้อมด้วยแหล่งทุนเป็นที่อาศัย (เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจในหมู่แหล่งทุนใหญ่ ๆ หาเงินมาลงทุนหรือดำเนินกิจการโดยง่าย — having good credit rating) A.I.116. องฺ.ติก.๒๐/๔๕๙/๑๔๖. (**) ปิฎก ๓ ดู (๗๔) ไตรปิฎก (**) พุทธคุณ ๓ ดู (๒๙๓) พุทธคุณ ๓ (๙๕) พุทธจริยา ๓ (พระจริยา หรือการทรงบำเพ็ญประโยชน์ ของพระพุทธเจ้า — the Buddha’s conduct, functions or services) ๑. โลกัตถจริยา (พระพุทธจริยาเพื่อประโยชน์แก่โลก — conduct for the well-being of the world) ๒. ญาตัตถจริยา (พระพุทธจริยาเพื่อประโยชน์แก่พระญาติตามฐานะ — conduct for the benefit of his relatives) ๓. พุทธัตถจริยา (พระพุทธจริยาที่ทรงบำเพ็ญประโยชน์ตามหน้าที่ของพระพุทธเจ้า — beneficial conduct as functions of the Buddha) AA.I.98; Dha.III.441. อง.อ.๑/๑๐๔; ธ.อ.๗/๙๓. (๙๖) พุทธโอวาท ๓ (ประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักใหญ่ ๓ ข้อ — the Three Admonitions or Exhortations of the Buddha) ๑. สพฺพปาปสฺส อกรณํ (ไม่ทำความชั่วทั้งปวง — not to do any evil) ๒. กุสลสฺสูปสมฺปทา (ทำแต่ความดี — to do good; to cultivate good) ๓. สจิตฺตปริโยทปนํ (ทำใจของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ — to purify the mind) หลัก ๓ ข้อนี้ รวมอยู่ในโอวาทปาติโมกข์ ที่ทรงแสดงในวันเพ็ญ เดือน ๓ ที่บัดนี้เรียกว่า วันมาฆบูชา D.II.49; Dh.183 ที.ม.๑๐/๕๔/๕๗; ขุ.ธ.๒๕/๒๔/๓๙. (๙๗) ภพ ๓ (ภาวะชีวิตของสัตว์, โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์ — existence; sphere) ๑. กามภพ (ภพที่เป็นกามาวจร, ภพของสัตว์ผู้ยังเสวยกามคุณคืออารมณ์ทางอินทรีย์ทั้ง ๕ ได้แก่ อบาย ๔ มนุษยโลก และกามาวจรสวรรค์ทั้ง ๖ — the Sense-Sphere) ๒. รูปภพ (ภพที่เป็นรูปาวจร, ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงรูปฌาน ได้แก่ รูปพรหมทั้ง ๑๖ — the Form-Sphere; Fine-Material Sphere) ๓. อรูปภพ (ภพที่เป็นอรูปาวจร, ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงอรูปฌาน ได้แก่ อรูปพรหม ๔ — the Formless Sphere; Immaterial Sphere) D.III.215; M.I.294. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๒๘; ม.มู.๑๒/๔๙๘/๕๓๙. (๙๘) ภาวนา ๓ (การเจริญ หมายถึงการเจริญกรรมฐานหรือฝึกสมาธิขั้นต่างๆ — stages of mental culture) ๑. บริกรรมภาวนา (ภาวนาขั้นบริกรรม, ฝึกสมาธิขั้นตระเตรียม ได้แก่ การถือเอานิมิตในสิ่งที่กำหนดเป็นอารมณ์กรรมฐาน เช่น เพ่งดวงกสิณ หรือนึกถึงพุทธคุณเป็นอารมณ์ว่าอยู่ในใจเป็นต้น กล่าวสั้นๆ คือ การกำหนดบริกรรมนิมิตนั่นเอง — preliminary stage) ได้ในกรรมฐานทั้ง ๔๐ ๒. อุปจารภาวนา (ภาวนาขั้นจวนเจียน, ฝึกสมาธิขั้นเป็นอุปจาร ได้แก่ เจริญกรรมฐานต่อไป ถึงขณะที่ปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นในกรรมฐานที่เพ่งวัตถุก็ดี นิวรณ์สงบไปในกรรมฐานประเภทนึกเป็นอารมณ์ก็ดี นับแต่ขณะนั้นไปจัดเป็นอุปจารภาวนา — proximate stage) ขั้นนี้เป็น กามาวจรสมาธิ ได้ในกรรมฐานทั้ง ๔๐; อุปาจารภาวนา สิ้นสุดแค่โคตรภูขณะ ในฌานชวนะ ๓. อัปปนาภาวนา (ภาวนาขั้นแน่วแน่, ฝึกสมาธิขั้นเป็นอัปปนา ได้แก่ เสพปฏิภาคนิมิตที่เกิดขึ้นแล้วนั้นสม่ำเสมอด้วยอุปจารสมาธิ จนบรรลุปฐมฌาน คือ ถัดจากโคตรภูขณะในฌานชวนะเป็นต้นไป ต่อแต่นั้นเป็นอัปปนาภาวนา - concentrative or attainment stage) ขั้นนี้เป็นรูปาวจรสมาธิ ได้เฉพาะในกรรมฐาน ๓๐ คือ หักอนุสสติ ๘ ข้างต้น ปฏิกูลสัญญา ๑ และจตุธาตุวัตถาน ๑ ออกเสีย คงเหลือ อสุภะ ๑๐ และกายคตาสติ ๑ (ได้ถึงปฐมฌาน) อัปปมัญญา ๓ ข้อต้น (ได้ถึงจตุตถฌาน) อัปปมัญญาข้อท้ายคืออุเบกขา ๑ กสิณ ๑๐ และ อานาปานสติ ๑ (ได้ถึงปัญจมฌาน) อรูป ๔ (ได้อรูปฌาน) ดู (๘๖) นิมิต ๓ Comp.203. สังคห.๕๑ (๙๙) รัตนตรัย (รัตนะ ๓, แก้วอันประเสริฐ หรือสิ่งล้ำค่า ๓ ประการ, หลักที่เคารพบูชาสูงสุดของพุทธศาสนิกชน ๓ อย่าง — the Triple Gem; Three Jewels) ๑. พระพุทธเจ้า (พระผู้ตรัสรู้เองและสอนผู้อื่นให้รู้ตาม — the Buddha; the Enlightened One) ๒. พระธรรม (คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งหลักความจริงและหลักความประพฤติ — the Dhamma; Dharma; the Doctrine) ๓. พระสงฆ์ (หมู่สาวกผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า — the Sangha; the Order) Kh.1. ขุ.ขุ.๒๕/๑/๑. (๑๐๐) ลัทธินอกพระพุทธศาสนา ๓ (บาลีเรียกว่า ติตถายตนะ แปลว่า แดนเกิดลัทธิ, ชุมนุมหรือประมวลแห่งลัทธิ — beliefs of other sects; grounds of sectarian tenets; spheres of wrong views; non-Buddhist beliefs) ๑. ปุพเพตกเหตุวาท (ลัทธิกรรมเก่า คือ พวกที่ถือว่า สิ่งใดก็ตามที่ได้ประสบจะเป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ตาม ล้วนเป็นเพราะกรรมที่ได้ทำไว้ในปางก่อน — a determinist theory that whatever is experienced) ๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท (ลัทธิพระเป็นเจ้า คือ พวกที่ถือว่า สิ่งใดก็ตามที่ได้ประสบ จะเป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ตาม ล้วนเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้ยิ่งใหญ่ — a determinist theory that whatever is experienced is due to the creation of a Supreme Being; theistic determinism) เรียกสั้นๆ ว่า อิศวกรณวาท หรือ อิศวรนิรมิตวาท ๓. อเหตุอปัจจัยวาท (ลัทธิเสี่ยงโชค คือ พวกที่ถือว่า สิ่งใดก็ตามที่ได้ประสบ จะเป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ตาม ล้วนหาเหตุหาปัจจัยมิได้ คือ ถึงคราวก็เป็นไปเอง — an indeterminist theory that whatever is experienced is uncaused and unconditioned; accidentalism) เรียกสั้นๆ ว่า อเหตุวาท A.I.173; Vbh.367. องฺ.ติก.๒๐/๕๐๑/๒๒๒; อภิ.วิ.๓๕/๙๔๐/๔๙๖. (๑๐๑) โลก ๓ (ประดาสภาวธรรมหรือหมู่สัตว์ กำหนดโดยขอบเขตบ้าง ไม่กำหนดบ้าง — the world; the earth; sphere; universe) ๑. สังขารโลก (โลกคือสังขาร ได้แก่สภาวธรรมทั้งปวงที่มีการปรุงแต่งตามเหตุปัจจัย — the world of formations) ๒. สัตวโลก (โลกคือหมู่สัตว์ — the world of beings) ๓. โอกาสโลก (โลกอันกำหนดด้วยโอกาส, โลกอันมีในอวกาศ, จักรวาล — the world of location; the world in space; the universe) Vism.204; DA.I.173; MA.I.397. วิสุทธิ.๑/๒๖๒; ที.อ.๑/๒๑๕; ม.อ.๒/๒๖๙. (๑๐๒) โลก ๓ (โลกคือหมู่สัตว์, สัตว์โลก — the world of beings) ๑. มนุษยโลก (โลกคือหมู่มนุษย์ — the world of man) ๒. เทวโลก (โลกคือหมู่เทพ, สวรรค์ชั้นกามาวจรทั้ง ๖ — the heavenly world) ๓. พรหมโลก (โลกคือหมู่พรหม, สวรรค์ชั้นพรหม — the Brahma world) DA.I.173; MA.I.397. ที.อ.๑/๒๑๕; ม.อ.๒/๒๖๙. (๑๐๓) โลก ๓ (โลกอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ — the world; sphere) คือ กามโลก — the world of sense-desire; รูปโลก — the world of form; อรูปโลก — the formless world; เป็นชื่อที่บางแห่งใช้เรียก ภพ ๓ แต่ไม่นิยม ดู (๙๗) ภพ ๓. (๑๐๔) วัฏฏะ ๓ หรือ ไตรวัฏฏ์ (วน, วงเวียน, องค์ประกอบที่หมุนเวียน ต่อเนื่องกันของภวจักร หรือสังสารจักร — the triple round; cycle) ๑. กิเลสวัฏฏ์ (วงจรกิเลส ประกอบด้วยอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน — round of defilements) ๒. กรรมวัฏฏ์ (วงจรกรรม ประกอบด้วยสังขารและกรรมภพ — round of Karma) ๓. วิปากวัฏฏ์ (วงจรวิบาก ประกอบด้วย วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ซึ่งแสดงออกในรูปปรากฏที่เรียกว่า อุปปัตติภพ ชาติ ชรา มรณะ เป็นต้น — round of results) Vism.581. วิสุทธิ.๓/๑๙๘. (๑๐๕) วิชชา ๓ (ความรู้แจ้ง, ความรู้วิเศษ — the Threefold Knowledge) ๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ญาณเป็นเหตุระลึกขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อนได้, ระลึกชาติได้ — reminiscence of past lives) ๒. จุตูปปาตญาณ (ญาณกำหนดรู้จุติและอุบัติแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นไปตามกรรม, เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เรียกอีกอย่างว่า ทิพพจักขุญาณ — knowledge of the decease and rebirth of beings; clairvoyance) ๓. อาสวักขยญาณ (ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย, ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ, ความตรัสรู้ — knowledge of the destruction of mental intoxication) D.III.220.275;A,V.211 ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๒; ๓๙๘/๒๙๒; องฺ.ทสก.๒๔/๑๐๒/๒๒๕. (๑๐๖) วิโมกข์ ๓ (ความหลุดพ้น, ประเภทของความหลุดพ้น จัดตามลักษณะการเห็นไตรลักษณ์ ข้อที่ให้ถึงความหลุดพ้น — liberation; aspects of liberation) ๑. สุญญตวิโมกข์ (หลุดพ้นด้วยเห็นความว่างหมดความยึดมั่น ได้แก่ ความหลุดพ้น ที่เกิดจากปัญญาพิจารณาเห็นนามรูป โดยความเป็นอนัตตา คือ หลุดพ้นด้วยเห็นอนัตตา แล้วถอนความยึดมั่นเสียได้ — liberation through voidness; void liberation) = อาศัยอนัตตานุปัสสนา ถอนอัตตาภินิเวส. ๒. อนิมิตตวิโมกข์ (หลุดพ้นด้วยไม่ถือนิมิต ได้แก่ ความหลุดพ้นที่เกิดจากปัญญาพิจารณาเห็นนามรูป โดยความเป็นอนิจจัง คือ หลุดพ้นด้วยเห็นอนิจจตา แล้วถอนนิมิตเสียได้ — liberation through signlessness; signless liberation) = อาศัยอนิจจานุปัสสนา ถอนวิปัลลาสนิมิต. ๓. อัปปณิหิตวิโมกข์ (หลุดพ้นด้วยไม่ทำความปรารถนา ได้แก่ ความหลุดพ้นที่เกิดจากปัญญาพิจารณาเห็นนามรูป โดยความเป็นทุกข์ คือ หลุดพ้นด้วยเห็นทุกขตาแล้วถอนความปรารถนาเสียได้ — liberation through dispostionlessness; desireless liberation) = อาศัยทุกขานุปัสสนา ถอนตัณหาปณิธิ.
Ps.II.35. Vism.657; Comp.211 ขุ.ปฏิ.๓๑/๔๖๙/๓๕๓; วิสุทธิ.๓/๒๙๙; สังคห.๕๕. (๑๐๗) วิรัติ ๓ (การเว้นจากทุจริต, การเว้นจากกรรมชั่ว — abstinence) ๑. สัมปัตตวิรัติ (เว้นสิ่งประจวบเฉพาะหน้า, เว้นเมื่อประสบซึ่งหน้า หรือเว้นได้ทั้งที่ประจวบโอกาส คือ ไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อน ไม่ได้สมาทานสิกขาบทไว้เลย แต่เมื่อประสบเหตุที่จะทำชั่ว นึกคิดพิจารณาขึ้นได้ในขณะนั้นว่า ตนมีชาติตระกูล วัยหรือคุณวุฒิอย่างนี้ ไม่สมควรกระทำกรรมเช่นนั้น แล้วงดเว้นเสียได้ไม่ทำผิดศีล — abstinence as occasion arises; abstinence in spite of opportunity) ๒. สมาทานวิรัติ (เว้นด้วยการสมาทาน คือ ตนได้ตั้งเจตนาไว้ก่อน โดยได้รับศีล คือ สมาทานสิกขาบทไว้แล้ว ก็งดเว้นตามที่ได้สมาทานนั้น — abstinence by undertaking; abstinence in accordance with one’s observances) ๓. สมุจเฉทวิรัติ หรือ เสตุฆาตวิรัติ (เว้นด้วยตัดขาด หรือด้วยชักสะพานตัดตอนเสียทีเดียว, เว้นได้เด็ดขาด คือ การงดเว้นความชั่ว ของพระอริยะทั้งหลาย อันประกอบด้วยอริยมรรคซึ่งขจัดกิเลสที่เป็นเหตุแห่งความชั่วนั้นๆ เสร็จสิ้นแล้ว ไม่เกิดมีแม้แต่ความคิดที่จะประกอบกรรมชั่วนั้นเลย — abstinence by destruction (of the roots of evil)) DA.I.305; Kha.142; DhsA.103 ที.อ.๑/๓๗๗; ขุทฺทก.อ.๑๕๖; สงฺคณี อ. ๑๘๘ (๑๐๘) วิเวก ๓ (ความสงัด, ความปลีกออก — seclusion) ๑. กายวิเวก (ความสงัดกาย ได้แก่ อยู่ในที่สงัดก็ดี ดำรงอิริยาบถและเที่ยวไปผู้เดียวก็ดี - bodily seclusion; i.e.solitude) ๒. จิตตวิเวก (ความสงัดใจ ได้แก่ทำจิตให้สงบผ่องใส สงัดจากนิวรณ์ สังโยชน์ และอนุสัย เป็นต้น หมายเอาจิตแห่งท่านผู้บรรลุฌาน และอริยมรรค อริยผล - mental seclusion, i.e. the state of Jhana and the Noble Paths and Fruitions) ๓. อุปธิวิเวก (ความสงัดอุปธิ ได้แก่ธรรมเป็นที่สงบระงับสังขารทั้งปวง ปราศจากกิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี ที่เรียกว่าอุปธิ หมายเอาพระนิพพาน - seclusion from the essentials of existence, i.e. Nibbana) Nb 26,140,157,341 ขุ.ม.๒๙/๓๓/๒๙; ๒๒๙/๑๗๐ (๑๐๙) เวทนา ๒ (กายเสวยอารมณ์ — feeling; sensation) ๑. กายิกเวทนา (เวทนาทางกาย — physical feeling) ๒. เจตสิกเวทนา (เวทนาทางใจ — mental feeling) S.IV.231. สํ.ลฬ.๑๘/๔๓๑/๒๘๗. (๑๑๐) เวทนา ๓ (การเสวยอารมณ์, ความรู้สึกรสของอารมณ์ — feeling; sensation) ๑. สุขเวทนา (ความรู้สึกสุข สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม — pleasant feeling; pleasure) ๒. ทุกขเวทนา (ความรู้สึกทุกข์ ไม่สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม — painful feeling pain) ๓. อทุกขมสุขเวทนา (ความรู้สึกเฉยๆ จะสุขก็ไม่ใช่ ทุกข์ก็ไม่ใช่ เรียกอีกอย่างว่า อุเบกขาเวทนา — neither-pleasant-nor-painful feeling; indifferent feeling) D.III.216; 275; S.IV.331. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๒๙; ๓๙๑/๒๙๑; สํ.สฬ.๑๘/๔๓๒/๒๘๗. (๑๑๑) เวทนา ๕ (การเสวยอารมณ์ — feeling) ๑. สุข (ความสุข ความสบายทางกาย — bodily pleasure or happiness) ๒. ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย — bodily pain; discomfort) ๓. โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ — mental happiness; joy) ๔. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ — mental pain; displeasure; grief) ๕. อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ — indifference) S.IV.232 สํ.สฬ.๑๘/๔๓๓/๒๘๗. (๑๑๒) เวทนา ๖ (การเสวยอารมณ์ — feeling) ๑. จักขุสัมผัสสชา เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางตา — feeling arisen from visual contact) ๒. โสต ~ เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู — from auditory contact) ๓. ฆาน ~ เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก — from olfactory contact) ๔. ชิวหา ~ เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางลิ้น — from gustatory contact) ๕. กาย ~ เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย — from physical contact) ๖. มโน ~ เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ — from mental contact) S.IV.232 สํ.สฬ.๑๘/๔๓๔/๒๘๗.
(๑๑๓) สมบัติ ๓ (ความพรั่งพร้อมสมบูรณ์แห่งสิ่งอันให้สำเร็จความปรารถนา, ผลสำเร็จที่ให้สมความปรารถนา — prosperity; success; excellence) ๑. มนุษยสมบัติ (สมบัติในมนุษย์, สมบัติชั้นมนุษย์ — human prosperity) ๒. เทวสมบัติ (สมบัติในสวรรค์, สวรรคสมบัติ, ทิพยสมบัติ — heavenly prosperity) ๓. นิพพานสมบัติ (สมบัติคือพระนิพพาน — successful attainment of Nibbana) Kh.7; DhA.III.183. ขุ.ขุ.๒๘/๙/๑๒; ธ.อ.๖/๔๘. (๑๑๔) สมบัติ หรือ ทานสมบัติ ๓ (ความถึงพร้อม, ความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ ซึ่งทำให้ทานที่ได้บริจาคแล้วเป็นทานอันยอดเยี่ยม มีผลมาก — successful attainment; accomplishment; excellence) ๑. เขตสมบัติ (บุญเขตถึงพร้อม คือ ปฏิคาหก หรือผู้รับทาน เป็นผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ประกอบด้วยคุณธรรม — excellence of the field of merit) ๒. ไทยธรรมสมบัติ (ไทยธรรมถึงพร้อม คือ สิ่งที่ให้เป็นของบริสุทธิ์ ได้มาโดยชอบธรรม และเหมาะสมเป็นประโยชน์แก่ผู้รับ — excellence of the gift) ๓. จิตตสมบัติ (เจตนาถึงพร้อม คือ ให้ด้วยความตั้งใจ คิดจะให้เป็นประโยชน์แก่ผู้รับแท้จริง มีเจตนาบริสุทธิ์ทั้ง ๓ กาล คือ ก่อนให้ใจยินดี ขณะให้จิตผ่องใส ให้แล้วเบิกบานใจ — excellence of motive or intention) UdA.199. อุ.อ.๒๕๑. (***) สมาธิ ๓ ดู (๔๖-๔๗) สมาธิ ๓. (๑๑๕) สรณะ ๓ หรือ ไตรสรณะ (ที่พึ่ง, ที่ระลึก — the Threefold refuge; Three refuges; Threefold Guide) หมายถึงพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ดู (๙๙) รัตนตรัย การน้อมใจระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยนั้น เข้าใจความหมายอย่างถูกต้อง และยึดถือเป็นหลักแห่งความประพฤติปฏิบัติหรือเป็นเครื่องนำทางในการดำเนินชีวิต เรียกว่า สรณคมน์ ไตรสรณคมน์ หรือ ไตรสรณาคมน์. Kh.I. ขุ.ขุ.๒๕/๑/๑. (๑๑๖) สังขตลักษณะ ๓ (ลักษณะแห่งสังขตธรรม คือสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น — characteristics of the conditioned; condition; condition-marks of the conditioned) ๑. อุปฺปาโท ปญฺายติ (ความเกิดขึ้น ปรากฏ — Its arising is apparent.) ๒. วโย ปญฺายติ (ความดับสลาย ปรากฏ — Its passing away or subsidence is apparent.) ๓. ฐิตสฺส อญฺถตฺตํ ปญฺายติ (เมื่อตั้งอยู่ ความแปรปรากฏ — While persisting, alteration or changeability is apparent.) A.I.152. องฺ.ติก.๒๐/๔๘๖/๑๙๒. (๑๑๗) อสังขตลักษณะ ๓ (ลักษณะแห่งอสังขตธรรม — characteristics of the Unconditioned) ๑. น อุปฺปาโท ปญฺายติ (ไม่ปรากฏความเกิด — No arising appears.) ๒. น วโย ปญฺายติ (ไม่ปรากฏความสลาย — No passing away appears.) ๓. น ฐิตสฺส อญฺถตฺตํ ปญฺายติ (เมื่อตั้งอยู่ ไม่ปรากฏความแปร — While persisting, no alteration appears.) A.I.152. องฺ.ติก.๒๐/๔๘๗/๑๙๒. (๑๑๘) สังขาร ๓๑ (สภาพที่ปรุงแต่ง — formation; determination; function) ๑. กายสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งกาย ได้แก่ อัสสาสะ ปัสสาสะ คือ ลมหายใจเข้าออก — bodily formation; bodily function) ๒. วจีสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งวาจา ได้แก่ วิตกและวิจาร — verbal formation; verbal function) ๓. จิตตสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งใจ ได้แก่ สัญญา และเวทนา — mental formation; mental function) M.I.301; S.IV.293. ม.มู.๑๒/๕๐๙/๕๕๐; สํ.สฬ.๑๘/๕๖๑/๓๖๑. (๑๑๙) สังขาร ๓๒ (สภาพที่ปรุงแต่ง, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งการกระทำ, สัญเจตนา หรือเจตนาที่แต่งกรรม — formation; determination; volition) ๑. กายสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย ได้แก่ กายสัญเจตนา คือ ความจงใจทางกาย — bodily formation; bodily volition) ๒. วจีสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางวาจา ได้แก่ วจีสัญเจตนา คือ ความจงใจทางวาจา — verbal formation; verbal volition) ๓. จิตตสังขาร หรือ มโนสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งกระทำทางใจ ได้แก่ มโนสัญเจตนา คือ ความจงใจทางใจ — mental formation; mental volition) ดู (๑๒๘) อภิสังขาร ๓; ดู (๑๘๒) สังขาร ๔ ด้วย. M.I.54; 390; S.II.4; Vbh.135. ม.มู.๑๒/๑๒๗/๙๙; ม.ม.๑๓/๘๘/๘๓; สํ.นิ.๑๖/๑๖/๑๔; อภิ.วิ.๓๕/๒๕๗/๑๘๑. (๑๒๐) สัทธรรม ๓ (ธรรมอันดี, ธรรมที่แท้, ธรรมของสัตบุรุษ, หลักหรือแก่นศาสนา — good law; true doctrine of the good; essential doctrine) ๑. ปริยัตติสัทธรรม (สัทธรรมคือคำสั่งสอนจะต้องเล่าเรียน ได้แก่พุทธพจน์ — the true doctrine of study; textual aspect of the true doctrine; study of the Text or Scriptures) ๒. ปฏิปัตติสัทธรรม (สัทธรรมคือปฏิปทาอันจะต้องปฏิบัติ ได้แก่ อัฏฐังคิกมรรค หรือไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา — the true doctrine of practice; practical aspect of the true doctrine) ๓. ปฏิเวธสัทธรรม (สัทธรรมคือผลอันจะพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏิบัติ ได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน — the true doctrine of penetration; realizable or attainable aspect of the true doctrine) VinA.225;AA.V.33. วินย.อ.๑/๒๖๔; ม.อ.๓/๑๔๗,๕๒๓; องฺ.อ.๓/๓๙๑. (๑๒๑) สันโดษ ๓ และ ๑๒ (ความยินดี, ความพอใจ, ความยินดีด้วยของของตนซึ่งได้มาด้วยเรี่ยวแรงความเพียรโดยชอบธรรม, ความยินดีด้วยปัจจัยสี่ ตามมีตามได้, ความรู้จักอิ่มรู้จักพอ — contentment; satisfaction with whatever is one’s own) ๑. ยถาลาภสันโดษ (ยินดีตามที่ได้, ยินดีตามที่พึงได้ คือ ตนได้สิ่งใดมา หรือ เพียรหาสิ่งใดมาได้ เมื่อเป็นสิ่งที่ตนพึงได้ ไม่ว่าจะหยาบหรือประณีตแค่ไหน ก็ยินดีพอใจด้วยสิ่งนั้น ไม่ติดใจอยากได้สิ่งอื่น ไม่เดือดร้อนกระวนกระวายเพราะสิ่งที่ตนไม่ได้ ไม่ปรารถนาสิ่งที่ตนไม่พึงได้หรือเกินไปกว่าที่ตนพึงได้โดยถูกต้อง ชอบธรรม ไม่เพ่งเล็งปรารถนาของที่คนอื่นได้ ไม่ริษยาเขา — contentment with what one gets and deserves to get) ๒. ยถาพลสันโดษ (ยินดีตามกำลัง คือ ยินดีแต่พอแก่กำลังร่างกายสุขภาพและวิสัยแห่งการใช้สอยของตน ไม่ยินดีอยากได้เกินกำลัง ตนมีหรือได้สิ่งใดมาอันไม่ถูกกับกำลังร่างกายหรือสุขภาพ เช่น ภิกษุได้อาหารบิณฑบาตที่แสดงต่อโรคของตน หรือเกินกำลังการบริโภคใช้สอย ก็ไม่หวงแหนเสียดายเก็บไว้ให้เสียเปล่า หรือฝืนใช้ให้เป็นโทษแก่ตน ย่อมสละให้แก่ผู้อื่นที่จะใช้ได้ และรับหรือแลกเอาสิ่งที่ถูกโรคกับตน แต่เพียงที่พอแก่กำลังการบริโภคใช้สอยของตน — contentment with what is within one’s strength or capacity) ๓. ยถาสารุปปสันโดษ (ยินดีตามสมควร คือ ยินดีตามที่เหมาะสมกับตน อันสมควรแก่ภาวะ ฐานะ แนวทางชีวิต และจุดหมายแห่งการบำเพ็ญกิจของตน เช่น ภิกษุไม่ปรารถนาสิ่งของอันไม่สมควรแก่สมณภาวะ หรือภิกษุบางรูปได้ปัจจัยสี่ที่มีค่ามาก เห็นว่าเป็นสิ่งสมควรแก่ทานผู้ทรงคุณสมบัติน่านับถือ ก็นำไปมอบให้แก่ท่านผู้นั้น ตนเองใช้แต่สิ่งอันพอประมาณ หรือภิกษุบางรูปกำลังประพฤติวัตรขัดเกลาตน ได้ของประณีตมา ก็สละให้แก่เพื่อนภิกษุรูปอื่นๆ ตนเองเลือกหาของปอนๆ มาใช้หรือตนเองมีโอกาสจะได้ลาภอย่างหนึ่ง แต่รู้ว่าสิ่งนั้นเหมาะสมหรือเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อื่นที่เชี่ยวชาญถนัดสามารถด้านนั้น ก็สละให้ลาภถึงแก่ท่านผู้นั้น ตนรับเอาแต่สิ่งที่เหมาะสมกับตน — contentment with what is befitting) AA.I.45; KhA.145; UdA.229;etc. ที.อ.๑/๒๕๓; ม.อ.๒/๑๘๘; องฺ.อ.๑/๘๑; ขุทฺทก.อ.๑๕๙; อุ.อ.๒๘๘; ฯลฯ (๑๒๒) สัปปุริสบัญญัติ ๓ (บัญญัติของสัตบุรุษ, ข้อปฏิบัติที่สัตบุรุษวางเป็นแบบไว้ หรือกล่าวสรรเสริญไว้, ความดีที่คนดีถือลงกัน — things established by righteous people; recommendation of the good) ๑. ทาน (การให้ปัน, สละของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น — giving; generosity; charity; benefaction) ๒. ปัพพัชชา (การถือบวช, เว้นการเบียดเบียน ดำรงในธรรม คือ อหิงสา สัญญมะ และทมะ อันเป็นอุบายให้ไม่เบียดเบียนกัน และอยู่ร่วมกันด้วยความสุข — renunciation consisting in non-violence, restraint and self-control) ๓. มาตาปิตุอุปัฏฐาน (การบำรุงมารดาบิดา, ปฏิบัติมารดาบิดาของตนให้เป็นสุข — support of mother and father) A.I.151. องฺ.ติก.๒๐/๔๘๔/๑๙๑. (***) สามัญลักษณะ ๓ ดู (๗๕) ไตรลักษณ์. (๑๒๓) สิกขา ๓ หรือ ไตรสิกขา (ข้อที่จะต้องศึกษา, ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักสำหรับศึกษา คือ ฝึกหัดอบรมกาย วาจา จิตใจ และปัญญา ให้ยิ่งขึ้นไปจนบรรลุจุดหมายสูงสุดคือพระนิพพาน — the Threefold Training) ๑. อธิสีลสิกขา (สิกขาคือศีลอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง — training in higher morality) ๒. อธิจิตตสิกขา (สิกขาคือศีลอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกหัดอบรมจิตเพื่อให้เกิดคุณธรรมเช่นสมาธิอย่างสูง — training in higher mentality) ๓. อธิปัญญาสิกขา (สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง — training in higher wisdom) D.III.220; A.I.229. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๑; องฺ.ติก.๒๐/๕๒๑/๒๙๔. (***) สุจริต ๓ ดู (๘๐) สุจริต ๓. (***) โสดาบัน ๓ ดู (๕๘) โสดาบัน ๓. (***) อกุศลวิตก ๓ ดู (๖๙) อกุศลวิตก ๓. (๑๒๔) อธิปไตย ๔ (ความเป็นใหญ่, ภาวะที่ถือเอาเป็นใหญ่ — dominant influence; supremacy) ๑. อัตตาธิปไตย (ความมีตนเป็นใหญ่, ถือตนเป็นใหญ่, กระทำการด้วยปรารภตนเป็นประมาณ — supremacy of self; self-dependence) ๒. โลกาธิปไตย (ความมีโลกเป็นใหญ่, ถือโลกเป็นใหญ่, กระทำการด้วยปรารภ นิยมของโลกเป็นประมาณ — supremacy of the world or public opinion) ๓. ธัมมาธิปไตย (ความมีธรรมเป็นใหญ่, ถือธรรมเป็นใหญ่, กระทำการด้วยปรารภความถูกต้อง เป็นจริง สมควรตามธรรม เป็นประมาณ — supremacy of the Dharma or righteousness) D.III.220; A.I.147. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๑; องฺ.ติก.๒๐/๔๗๙/๑๘๖. (๑๒๕) อนุตตริยะ ๓ (ภาวะอันยอดเยี่ยม, สิ่งที่ยอดเยี่ยม — excellent states; highest ideal; greatest good; unsurpassable experiences) ๑. ทัสสนานุตตริยะ (การเห็นอันเยี่ยม ได้แก่ ปัญญาอันเห็นธรรม หรืออย่างสูงสุดคือเห็นนิพพาน — ideal sight, supreme or unsurpassable vision) ๒. ปฏิปทานุตตริยะ (การปฏิบัติอันเยี่ยม ได้แก่ การปฏิบัติธรรมที่เห็นแล้ว กล่าวให้ง่ายหมายเอามรรคมีองค์ ๘ — ideal course; supreme way) ๓. วิมุตตานุตตริยะ (การพ้นอันเยี่ยม ได้แก่ ความหลุดพ้นอันเป็นผลแห่งการปฏิบัตินั้น คือ ความหลุดพ้นจากกิเลสและทุกข์ทั้งปวง หรือนิพพาน — ideal freedom; supreme deliverance) D.III.291; M.I.235. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๑; ม.มู.๑๒/๔๐๒/๔๓๕. (๑๒๖) อนุตตริยะ ๖ (ภาวะอันเยี่ยม, สิ่งที่ยอดเยี่ยม — excellent, supreme or unsurpassable experiences) ๑. ทัสสนานุตริยะ (การเห็นอันเยี่ยม ได้แก่ การเห็นพระตถาคต และตถาคตสาวกรวมถึงสิ่งทั้งหลายที่จะให้เกิดความเจริญงอกงามแห่งจิตใจ — supreme sight) ๒. สวนานุตตริยะ (การฟังอันเยี่ยม ได้แก่ การสดับธรรมของพระตถาคต และ ตถาคตสาวก — supreme hearing) ๓. ลาภานุตตริยะ (การได้อันเยี่ยม ได้แก่ การได้ศรัทธาในพระตถาคตและตถาคตสาวก หรือการได้อริยทรัพย์ — supreme gain) ๔. สิกขานุตตริยะ (การศึกษาอันเยี่ยม ได้แก่ การฝึกอบรมในอธิศีล อธิจิต และอธิปัญญา — supreme training) ๕. ปาริจริยานุตตริยะ (การบำเรออันเยี่ยม ได้แก่ การบำรุงรับใช้พระตถาคตและตถาคตสาวก — supreme service or ministry) ๖. อนุสสตานุตตริยะ (การระลึกอันเยี่ยม ได้แก่ การระลึกถึงพระตถาคต และตถาคตสาวก — supreme memory) โดยสรุปคือ การเห็น การฟัง การได้ การศึกษา การช่วยรับใช้ และการรำลึกที่จะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ ล่วงพ้นโสกะปริเทวะ ดับสูญทุกข์โทมนัส เพื่อการบรรลุญายธรรม ทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน D.III.250,281; A.III.284,325,452 . ที.ปา.๑๑/๓๒๑/๒๖๒; ๔๓๐/๓๐๗; องฺ.ฉกฺก.๒๒/๒๗๙/๓๑๖; ๓๐๑/๓๖๓. (๑๒๗) อปัณณกปฏิปทา ๓ (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด, ปฏิปทาที่เป็นส่วนแก่นสารเนื้อแท้ ซึ่งจะนำผู้ปฏิบัติให้ถึงความเจริญงอกงามในธรรม เป็นผู้ดำเนินอยู่ในแนวทางแห่งความปลอดพ้นจากทุกข์อย่างแน่นอนไม่ผิดพลาด — sure course; sure practice; unimpeachable path) ๑. อินทรียสังวร (การสำรวมอินทรีย์ คือระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมครอบงำใจ เมื่อรับรู้อารมณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง ๖ — control of the senses) ๒. โภชเน มัตตัญญุตา (ความรู้จักประมาณในการบริโภค คือรู้จักพิจารณารับประทานอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายใช้ทำกิจให้ชีวิตผาสุก มิใช่เพื่อสนุกสนาน มัวเมา— moderation in eating) ๓. ชาคริยานุโยค (การหมั่นประกอบความตื่น ไม่เห็นแก่นอน คือ ขยันหมั่นเพียรตื่นตัวอยู่เป็นนิตย์ ชำระจิตมิให้มีนิวรณ์ พร้อมเสมอทุกเวลาที่จะปฏิบัติกิจให้ก้าวหน้าต่อไป — practice of wakefulness) A.I.113. องฺ.ติก.๒๐/๔๕๕/๑๔๒. (๑๒๘) อภิสังขาร ๓ (สภาพที่ปรุงแต่ง, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งผลแห่งการกระทำ, เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม — volitional formation; formation; activity) ๑. ปุญญาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นบุญ, สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นกามาวจรและรูปาวจร — formation of merit; meritorious formation) ๒. อปุญญาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญคือเป็นบาป, สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว ได้แก่ อกุศลเจตนาทั้งหลาย — formation of demerit; demeritorious formation) ๓. อาเนญชาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นอเนญชา, สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร ๔ หมายเอาภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน — formation of the imperturbable; imperturbability-producing volition) อภิสังขาร ๓ นี้ เป็นความหมายของสังขารในหลักปฏิจจสมุปบาท ท่านแสดงไว้อีกนัยหนึ่งเพิ่มจากนัยว่าสังขาร ๓ ดู (๑๑๙) สังขาร ๓ Ps.II.206; Vbh.135. ขุ.ปฏิ.๓๑/๒๘๐/๑๘๑; อภิ.วิ.๓๕/๒๕๗/๑๘๑. (๑๒๙) อัคคิ ๓๑ (ไฟ, กิเลสที่เปรียบเหมือนไฟ เพราะเผาลนจิตใจให้เร่าร้อนและแส่พร่านไป — fires to be avoided or abandoned) ๑. ราคัคคิ (ไฟคือราคะ ได้แก่ความติดใจ กระสัน อยากได้ — fire of lust) ๒. โทสัคคิ (ไฟคือโทสะ ได้แก่ความขัดเคือง ไม่พอใจ คิดประทุษร้าย — fire of hatred) ๓. โมหัคคิ (ไฟคือโมหะ ได้แก่ความหลง ไม่รู้ไม่เข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง — fire of delusion) ไฟ ๓ อย่างนี้ ท่านสอนให้ละเสีย D.III.217; It.92. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๒๙; ขุ.อิติ.๒๕/๒๗๓/๓๐๑. (๑๓๐) อัคคิ ๓๒ หรือ อัคคิปาริจริยา (ไฟที่ควรบำรุง, บุคคลที่ควรบูชาด้วยใส่ใจบำรุงเลี้ยงและให้ความเคารพนับถือตามควรแก่ฐานะ ดุจไฟบูชาของผู้บูชาไฟ — fires to be revered or worshipped) ๑. อาหุโนยัคคิ (ไฟอันควรแก่ของคำนับบูชา ได้แก่บิดามารดา — fire worthy of reverential gifts, i.e. mother and father) ๒. คหปตัคคิ (ไฟของเจ้าบ้าน ได้แก่ บุตรภรรยา และคนในปกครอง — fire of the householder, i.e. children, wife and dependents) ๓. ทักขิโณยัคคิ (ไฟอันควรแก่ทักษิณา ได้แก่สมณพราหมณ์ ท่านผู้ทำหน้าที่สั่งสองผดุงธรรม ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ — fire worthy of offerings, i.e. monks and other religious men) ไฟ ๓ อย่างนี้ เลียนศัพท์มาจากไฟบูชาในศาสนาพราหมณ์ แต่ใช้ในความหมายใหม่ เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตและสังคมอย่างแท้จริง. D.III.217; A.IV.44 ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๒๙; องฺ.สตฺตก.๒๓/๔๔/๔๖. (๑๓๑) อัตถะ หรือ อรรถ ๓๑ (ประโยชน, ผลที่มุ่งหมาย, จุดหมาย, ความหมาย — benefit; advantage; welfare; aim; goal; meaning) ๑. ทิฏฐธัมมิกัตถะ (ประโยชน์ปัจจุบัน, ประโยชน์ในโลกนี้, ประโยชน์ขั้นต้น — benefits obtainable here and now; the good to be won in this life; temporal welfare) ๒. สัมปรายิกัตถะ (ประโยชน์เบื้องหน้า, ประโยชน์ในภพหน้า, ประโยชน์ขั้นสูงขึ้นไป — the good to be won in the life to come; spiritual welfare) ๓. ปรมัตถะ (ประโยชน์สูงสุด, จุดหมายสูงสุด คือ พระนิพพาน — the highest good; final goal, i.e. Nibbana) Nd1 26. ขุ.จู.๓๐/๖๗๓/๓๓๓; ๔๕๕/๓๘๙. (๑๓๒) อัตถะ หรือ อรรถ ๓๒ (ประโยชน์, ผลที่มุ่งหมาย — benefit; advantage; gain; welfare) ๑. อัตตัตถะ (ประโยชน์ตน — gain for oneself; one’s own welfare) ๒. ปรัตถะ (ประโยชน์ผู้อื่น — gain for others; others’ welfare) ๓. อุภยัตถะ (ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย — gain both for oneself and for others; welfare both of oneself and of all others) Nd2 26. ขุ.จู.๓๐/๖๗๓/๓๓๓; ๗๕๕/๓๘๙. (๑๓๓) อาการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ๓ (ลักษณะการสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทำให้คำสอนของพระองค์ ควรแก่การประพฤติปฏิบัติตาม และทำให้เหล่าสาวกเกิดความมั่นใจเคารพเลื่อมใสในพระองค์อย่างแท้จริง — the Three Aspects of the Buddha’s Teaching; the Buddha’s manners of teaching) ๑. อภิญญายธัมมเทสนา (ทรงแสดงธรรมด้วยความรู้ยิ่ง, ทรงรู้ยิ่งเห็นจริงเองแล้ว จึงทรงสอนผู้อื่น เพื่อให้รู้ยิ่งเห็นจริงตาม ในธรรมที่ควรรู้ยิ่งเห็นจริง — Having himself fully comprehended, he teaches others for the full comprehending of what should be fully comprehended; teaching with full comprehension) ๒. สนิทานธัมมเทสนา (ทรงแสดงธรรมมีเหตุผล, ทรงสั่งสอนชี้แจงให้เห็นเหตุผล ไม่เลื่อนลอย — He teaches the doctrine that has a causal bias; teaching in terms of or with reference to causality) ๓. สัปปาฏิหาริยธัมมเทสนา (ทรงแสดงธรรมให้เห็นจริงได้ผลเป็นอัศจรรย์, ทรงสั่งสอนให้มองเห็นชัดเจนสมจริงจนต้องยอมรับ และนำไปปฏิบัติได้ผลจริงเป็นอัศจรรย์ — He teaches the doctrine that is wondrous as to its convincing power and practicality; teaching in such a way as to be convincing and practical) ข้อ ๑ บางท่านแปลว่า ทรงแสดงธรรมเพื่อความรู้ยิ่ง M.II.9; A.I.276. ม.ม.๑๓/๓๓๐/๓๒๒; องฺ.ติก.๒๐/๕๖๕/๓๕๖. (๑๓๔) อาสวะ ๓ (สภาวะอันหมักดองสันดาน, สิ่งที่มอมพื้นจิต, กิเลสที่ไหลซึมซ่านไปย้อมใจเมื่อประสบอารมณ์ต่าง ๆ — mental intoxication; canker; bias; influx; taint) ๑. กามาสวะ (อาสวะคือกาม — canker of sense-desire) ๒. ภวาสวะ (อาวสวะคือภพ — canker of becoming) ๓. อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวิชชา — canker of ignorance) ดู (๑๓๕) อาสวะ ๔ ด้วย D.II.81; S.IV.256. ที.ม.๑๐/๗๖/๙๖; สํ.สฬ.๑๘/๕๐๔/๓๑๕. (๑๓๕) อาสวะ ๔ (mental intoxication; canker) ๑. กามาสวะ (อาสวะคือกาม — canker of sense-desire) ๒. ภวาสวะ (อาวสวะคือภพ — canker of becoming) ๓. ทิฏฐาสวะ (อาสวะคือทิฏฐิ — canker of views or speculation) ๔. อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวิชชา — canker of ignorance) ในที่มาส่วนมาก โดยเฉพาะในพระสูตร แสดงอาสวะไว้ ๓ อย่าง โดยสงเคราะห์ทิฎฐาสวะเข้าในภวาสวะ (ม.อ.๑/๙๓) Vbh.373 อภิ.วิ.๓๕/๙๖๑/๕๐๔. (***) โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ ดู (๙๖) พุทธโอวาท ๓. |